
1. หมู่เกาะแฟโร
หมู่เกาะแฟโร หมู่เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันยอดเยี่ยมของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 20 มีนาคม 2015 จะมีปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มรูปแบบเกิดขึ้น ซึ่งถ้าคุณอยู่ที่นี่ จะได้เห็นความมหัศจรรย์ได้ชัดเจนที่สุด ส่วนช่วงเวลาในการเที่ยวหมู่เกาะแฟโรได้ดีที่สุด คือเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่มีอุณภูมิอบอุ่นกำลังสบาย ที่ราบ ทุ่งหญ้าอันเขียวขจี โขดหินและท้องทะเล จะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม
2. เอสเตรอส เดล อิเบร่า – อาร์เจนตินา
สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยทะเลสาบมากมาย แห่งนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองคอร์เรียนเตส ประเทศอาร์เจนตินา น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีความบริสุทธิ์สูง และเปล่งประกายระยิบระยับ จนนักผู้คนต่างให้ขนานนามว่า “brilliant water” กินบริเวณกว่า 3 ล้านไร่ เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ พร้อมทั้งสัตว์ป่านานาชนิด เป็นอีกมุมนึงของโลก ที่ควรไปสัมผัสสักครั้ง
3. หมู่เกาะซี – เซาท์ แคโรไลน่า – สหรัฐอเมริกา
สถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นแหล่งประวัติศาสตร์แห่งอเมริกันชน คุณจะได้พบกับกิจกรรมท่องเที่ยวมากมาย ชมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวของหมู่เกาะซี รับรองว่าพวกเขาจะต้องประหลาดใจ พร้อมเพลิดเพลินไปกับเรื่องเล่า และอาหารพื้นเมือง ในกลางเดือนมีนาคม จะเป็นช่วงที่ดีที่สุด คุณจะได้พบกับเทศกาลดื่มไวน์และอาหารหลากหลายชนิด
4. มงต์ แซงต์ มิเชล – ฝรั่งเศส
มงต์ แซงต์ มิเชล มหาวิหารเก่าแก่อายุกว่าพันปี ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม คุณจะได้เห็นเมือง และกระแสน้ำในอ่าว เป็นสถานที่ที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ในปี 1897 สะพานถูกสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกในการเข้าถึง แต่ก็ต้องก็หยุดก่อสร้าง จากการถูกล้อมรอบด้วยน้ำ และกลายเป็นวิหารที่เบื้องล่างเป็นหาดโคลนขนาดใหญ่ แต่ในปี 2005 วิหารแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะ จนสามารถเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มตัว
5. เนชันแนล มอลล์ – วอชิงตัน ดี.ซี.
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมือง ที่พลเมืองวอชิงตันชุมนุมกันที่ขั้นบันได ของอนุสาวรีย์ลินคอล์น อีกหนึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอเมริกันชน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กล่าวสุนทรพจน์อันเลื่องชื่อ ที่ว่า “I have a dream” กลายเป็นวลีแห่งตำนานเลยทีเดียว สำหรับการท่องเที่ยว ที่แห่งนี้ต้อนรับทุกคนเสมอ คุณจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและแสดงออกได้อย่างอิสระ
6. คอร์ซิกา – ฝรั่งเศส
คอร์ซิกา เมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา เพราะประสบความสำเร็จในการต่อต้านอิทธิพลและวัฒนธรรมต่างถิ่นมาว่า 2 ศตวรรษ หลังจากการพ่ายแพ้สงครามของกษัตริย์นโปเลียน โบนาปาร์ต แม้จะมีการเชื่อมต่อกับอิตาลีอย่างใกล้ชิด แต่คอร์ซิกา ก็ยังยืนหยัดหัวชนฝารักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมและภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ถือเป็นดินแดนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาก ควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยือน
7. เมเดลยิน – โคลอมเบีย
ที่ผ่านมา เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งโคเคนโลก เต็มไปด้วยการค้ายา แต่ตอนนี้ด้านลบเหล่านั้นได้ถูกแทนที่ ด้วยพลเมืองดี สถานที่อันเคยเป็นแหล่งผู้ก่อการร้าย ตอนนี้กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผุ้คนจะได้เพลิดเพลินกันในวันหยุด เมเดลยิน ได้กลายเป็นสถานที่สุดฮอตแหล่งใหม่ของนักท่องเที่ยว ด้วยการถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ใจกลางเมืองเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสุดจี๊ด ผสมผสานกันได้อย่างน่าทึ่ง จึงเป็นอีกเมืองน่าเที่ยวประจำปีนี้
8. มารามูเรส – โรมาเนีย
แผ่นดินประวัติศาสตร์ ที่คงความเป็นธรรมชาติไว้มากที่สุดในโลก ประมาณว่าได้รับการปรุงแต่งจากเครื่องจักรของมนุษย์น้อยที่สุดนั่นเอง เนินเขาที่ไม่มีถนนตัดผ่าน ไม่มีการแกะสลักหรือตัดหญ้าด้วยเครื่อง ทุกอย่างที่นี่ทำด้วยมือคน เพราะคนที่นี่ให้ความสำคัญกับแรงงานมนุษย์ ตวามอุตสาหะพยายาม มากกว่าเทคโนโลยีล้ำสมัย มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแบบดั้งเดิม ท่ามกลางทัศนียภาพของแม่น้ำ หุบเขา และทุ่งนา นักท่องเที่ยวที่ชอบความสงบ ในวิถีแบบสโลว์ไลฟ์ รับรองว่า มารามูเรส จะติดตราตรึงใจคุณไปชั่วกาล
9. ไฮดา กวาย – แคนาดา
ด้วยความที่เป็นเกาะที่มีความเงียบสงบค่อนข้างสูง ทำให้เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติ มีลักษณะเป็นหมู่เกาะยาว 180 ไมล์ มีความหลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ และมีความอุดมสมูรณ์ พื้นที่บนเกาะส่วนมากเป็นป่าทึบ เต็มไปด้วยพืชพันธุ์สวยงาม นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่ามีคนเคยอาศัยอยู่ใต้ดินในพื้นที่นี้ โดยมีหลักฐานที่แสดงชี้ชัดว่า มีการตั้งถิ่นฐานมาประมาณ 12,000 ปีแล้ว ลึกลับแบบนี้ น่าไปพิสูจน์จริงๆ
10. โอกลาโฮมา ซิตี้ – สหรัฐอเมริกา
ในปีที่ผ่านมา โอกลาโฮมา ซิตี้ มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก และไฮไลท์ที่สำคัญของปีนี้ จะทำการเปิดศูนย์ล่องแพ white-water ในพื้นที่ 11 ไร่ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในรูปแบบ Downtown ที่น่าเที่ยวอีกแห่งของปีนี้ เต็มไปด้วยที่พักสวยๆ และแหล่งช้อปปิ้งมากมาย
11. Choquequirao – เปรู
สถานที่แห่งนี้ เป็นเรื่องยากมากๆ ในการจะอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง อันเป็นรากเหง้าของมาชู ปิกชู แห่งอาณาจักรอินคาอันเลื่องชื่อ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นทรัพย์สินทางอารยธรรมที่หาค่าเปรียบไม่ได้ การจะไปท่องเที่ยวที่นี่นั้นไม่ได้เข้าถึงง่ายๆ ด้วยความสูง 9,800 ฟุตจากพื้นดิน หากจะบอกว่าสามารถไปได้โดยรถไฟและรถบัส คงจะเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ คุณต้องเสี่ยงปีนเขาสักหน่อย แล้วคุณจะได้พบกับความมหัศจรรย์ของ Choquequirao รับรองว่าคุ้มค่ากับทุกหยาดเหงื่อและแรงกายอย่างแน่นอน
12. ซาร์ค – หมู่เกาะชานเนล
1 ในสถานที่ไม่กี่แห่งบนโลก ที่ยังรักษาวิถีชีวิต และประเพณีดั้งเดิมเอาไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย เกาะนี้ ตั้งอยู่ห่างจากเกาะอังกฤษไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 80 ไมล์ และใกล้กับอ่าวนอมังดี ประเทศฝรั่งเศส ในปี 2015 นี้ จะมีการเฉลิมฉลองครบ 450 ปีของระบอบศักดินา ผู้คนบนเกาะยังคงใช้ชีวิตแบบโบราณ สองธนาคารบนเกาะ ไม่มีตู้เอทีเอ็ม ถนนไม่มีการปะติดปะต่อ เวลากลางคืนจะมืดมิดเงียบสงัด ไร้แสงไฟ รวมทั้งเป็นเขตแดนที่ห้ามขับขี่รถยนต์อีกด้วย ถือว่ายูนิคสุดๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบและใฝ่หาความสงบสุขอย่างแท้จริง
13. ไฮเดอราบัด – อินเดีย
ไฮเดอราบัด เมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย เป็นเมืองที่มีหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอาศัยอยู่นั่นก็คือ เมียร์ ออสมัน อาลี ข่าน ปัจจุบัน เมืองนี้เป็นสถานที่ที่หลายแบรนด์ไอทีระดับโลกมาตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ แต่ลักษณะทางประวัติศาสตร์ ไม่ได้หายไปไหน ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่ ด้วยก้อนหินโบราณ บ้านเรือนร่วมสมัย ผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน แถมยังล้อมรอบด้วยสวนสวยและทะเลสาบอีกด้วย
14. ไต้หวัน แห่งสาธารณรัฐจีน
ไต้หวัน เป็นอีกประเทศที่สะอาดและเงียบสงบ สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi เกือบทั่วทั้งเกาะ เกาะแห่งหุบเขานี้ได้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว เมื่อก่อนสินค้าที่มีคำว่า “Made In Taiwan” จะได้รับชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีด้านคุณภาพ แต่ปัจจุบันสิ่งนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว และเมืองหลวงอย่างไทเป เป็นเกียรติได้รับสถานะให้เป็น 2016 ‘World Design Capital เนื่องจากมีตึกระฟ้าจำนวนมากและสิ่งปลูกสร้างที่ล้ำสมัย
15. โคยะซัง – ญี่ปุ่น
โคยะซัง ถือเป็นจุดศูนย์กลางของพุทธศาสนาและหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศญี่ปุ่น มีความเป็นมาอันยาวนานกว่า 1,200 ปี ใช้เวลาเดินทางจากโอซาก้า เพียง 2 ชั่วโมง ด้วยรถไฟ ถ้าคุณได้มาสัมผัสถึงประเพณี ชีวิตอันสันโดษ ด้วยการฝึกจิต สวดมนต์ในตอนเช้า คุณจะรู้สึกถึงจิตวิญญาณและแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ที่นี่เป็นมังสวิรัติแบบเคร่งครัด และคุณจะมีโอกาสที่จะได้ลิ้มรสอาหารมังสวิรัติที่เรียบง่าย แต่อร่อย ตอนกลางคืนจะมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากโคมเท่านั้น ชาวพุทธแบบเรา น่าไปแสวงบุญที่นี่กัน คงจะเป็นความทรงจำที่ยอดเยี่ยม
ที่มาhttp://travel.mthai.com/world-travel/110546.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น